วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

ประเทศเซเนกัล

   เป็นประเทศที่อยู่ในแอฟริกาตะวันตก ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ใช้ภาษาฝรั่งเศส มีวันชาติ 4 เมษายน  มีพรมแดนทางตะวันตกจรดมหาสมุทรแอตแลนติก ทางเหนือจรดมอริเตเนีย ทางตะวันออกจรดมาลี และทางใต้จรดกินีและกินี-บิสเซา โดยล้อมแกมเบียซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศไว้เกือบทั้งหมด และมีหมู่เกาะเคปเวิร์ดตั้งอยู่ห่างจากชายแดนตะวันตกไปราว 560 กิโลเมตร  ในยุคอาณานิคม ชาวยุโรปชาติแรกที่เข้ามาตั้งรกราก ได้แก่ ชาวโปรตุเกสในคริสต์ศตวรรษที่ 15 แต่ต่อมาในศตวรรษที่ 17 อิทธิพลของฝรั่งเศสเริ่มเข้ามาและมีเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ และสามารถสยบรัฐมุสลิมรัฐสุดท้ายได้ในปี 1893 เซเนกัลตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสนานถึง 300 ปี (1659-1960) และดาการ์กลายเป็นเมืองหลวงของอาณานิคมฝรั่งเศสในแอฟริกาตะวันตก เซเนกัลได้รับ เอกราชโดยรวมอยู่ในสหพันธรัฐมาลีในวันที่ 20 มิถุนายน 1960 และได้ถอนตัวออกจากสหพันธรัฐเพื่อเป็นประเทศเอกราชอย่างแท้จริงเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 1960  ยุคหลังได้รับเอกราช เมื่อเซเนกัลได้รับเอกราช นาย Leopold Sedar Senghor เป็นประธานาธิบดีคนแรกและเป็นประมุขของประเทศ จนเมื่อปี 1980 นักการเมืองรุ่นใหม่ ได้กดดันให้เขาลาออกเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจส่งผลให้นาย Abdou Diouf ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีขณะนั้นได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่สองของเซเนกัลแทน และดำรงตำแหน่งต่อมาเป็นเวลา 19 ปี โดยได้รับเลือกตั้งทั้งหมด 3 ครั้ง ในปี 1983, 1988 และ 1993 ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2000 นาย Diouf พ่ายแพ้แก่ผู้นำฝ่ายค้าน นาย Abdoulaye Wade เนื่องจากชาวเซเนกัลอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเกิดความเบื่อหน่ายในพรรคสังคมนิยมของนาย Diouf ซึ่งครองอำนาจมานานถึง 40 ปี และมีความแตกแยกภายในพรรคสูง อนึ่ง เซเนกัลเคยรวมประเทศกับแกมเบียจัดตั้งสหพันธรัฐเซเนแกมเบียในปี 1982 แต่ก็กลับแยกกันดังเดิมอีกในปี 1989



    มีสถานที่น่าทึ่ง กับมหัศจรรย์สีหวานของ ทะเลสาบ Retba (เร็ตบา) ซึ่งถูกขนานนามว่า ทะเลสาบสีชมพู ดินแดนที่มีชื่อเสียงของกรุงดาการ์ ประเทศเซเนกัล ดินแดนซึ่งอยู่ทางตะวันตกของทวีปแอฟริกา สีสันอันตื่นตาของ ทะเลสาบสีชมพู แห่งนี้ เกิดจากความเข้มข้นสูงของเกลือ ซึ่งสูงกว่า Dead Sea ประมาณหนึ่งเท่า จึงกลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยขนาดยักษ์ของ ฮาโลแบคทีเรีย ซึ่งเป็น แบคทีเรีย halophile เซลล์เดียว ที่มีสีแดงหรือม่วง ชอบเจริญในบริเวณที่มีเกลือมาก โดยสีของ ทะเลสาบเร็ตบา สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่สีม่วงไปจนถึงสีชมพูเข้ม ขึ้นอยู่กับปริมาณแสงแดดที่ได้รับในแต่ละวัน

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Vincent Van gogh



ผลงาน



Starry Night Over The Rhone
วาดในปี ค.ศ.1888 ขนาด 72.5 x 92 ซม.
วินเซนต์ แวน โก๊ะ ได้ใช้เวลาเกือบหนึ่งปีเต็มในการเขียนรูป " Starry Night " ขึ้นมาภาพนี้ได้ แสดงถึงภาพของดวงดาวที่ส่องแสงเจิดจรัสท่ามกลางความมืดมิดในยามค่ำคืน เพื่ออวดรัศมีแข่งกับแสงสว่างอันจอมปลอมที่ส่องจากตึกรามบ้านช่องบนริมฝั่งของแม่น้ำ ภาพของหนุ่มสาวที่เดินเคียงคู่กันในด้านหน้าของภาพนั้นคล้ายกับภาพของคู่หนุ่มสาวในภาพ " Landscape with Couple Walking and Crescent Moon " ภาพทั้งสองภาพนี้ วินเซนต์ได้เขียนรูปชายที่เดินเคียงข้างหญิงสาวผู้นั้น แทนตัวของเขาเอง โดยสามารถสังเกตได้จากผมของชายในภาพซึ่งเป็นสีแดงเหมือนกับผมของตัวเขาแต่ต่างกันที่ในชีวิต จริงของวินเซนต์แล้ว เขาหาได้มีหญิงสาวใดมาเดินเคียงข้างเขาไม่





The Starry Night
วาดในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1889
เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนพื้นผ้าใบ ขนาดภาพ 72 x 92 ซม. (29 x 36 1/4 นิ้ว)
สถานที่แสดง The Museum of Modern Art เมืองนิวยอร์ก
วินเซนต์ได้กล่าวถึงภาพ " Starry Night " นี้ว่า "ฉันกำลังประสบกับปัญหาอย่างมากใน การเขียนภาพของยามค่ำคืน ถ้าพูดให้ถูกแล้วก็คือ การถ่ายถอดภาพลงบนผืนผ้าในเวลา กลางคืนก็ได้ " ภาพของแสงสีในยามค่ำคืนนั้น เป็นภาพที่เขาใฝ่ฝันอยากเขียนขึ้นและความฝันของเขาก็ได้กลายมาเป็นความจริง เมื่อเขาตัดสินใจย้ายมา อยู่ที่เมืองอาเรส ในเดือนกุมภาพันธ์ของปี ค.ศ. 1888 ในจดหมายเขาได้กล่าวไว้ว่า

" ในชีวิตของจิตกรแล้ว ความตายอาจไม่ใช่ความยากลำบากที่สุดในชีวิต ฉันสามารถพูดได้ว่า ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย แต่เมื่อฉันได้มองดูดวงดาวแล้ว ฉันก็เริ่มนึกคิดจุดดำมืดที่แสดง ถึงภาพของเมือง และหมู่บ้านในแผนที่ ทำให้ฉันคิดว่าทำไมมนุษย์เราถึงได้ให้ความสำคัญของ จุดดำมืดที่อยู่บนแผนที่ของฝรั่งเศษ มากไปกว่า แสงสว่างอันแท้จริงที่ส่องตรงมาจากสวรรค์ มันก็คงเหมือนกับการที่เราเลือกไป รถไฟเพื่อจะไปยังทาราสคอน หรือโรน หรือเราจะเลือก เอาความตายเพื่อจะไปให้ถึงดวงดาวบนฟ้านั่น "




Vincent’s Bedroom
ตั้งแต่วินเซนต์ได้ทราบข่าวจากโกแกง ว่าเขาจะเดินทางมาร่วมกับ วินเซนต์ที่บ้านสีเหลืองนี้ วินเซนต์ก็ได้จัดเตรียมทุกอย่างเพื่อคอย การมาของเพื่อนของเขา เขาตกแต่งบ้านเสียใหม่โดยเขียนภาพอีก หลายภาพขึ้นเพื่อใช้ตกแต่งฝาผนัง และห้องนอนของโกแกง ภาพห้องนอนของวินเซนต์นี้ เมื่อตอนที่เขาอยู่ที่เซนต์เรมี ได้สร้างภาพจำลองขึ้น อีกสองภาพจากภาพต้นฉบับจริงที่เขาเขียนขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมของ ปี ค.ศ.1888 ในขณะที่เขากำลังรอคอยให้โกแกงมาพักอยู่ด้วย วินเซนต์ได้ยกย่องให้ภาพนี้เป็นหนึ่ง ในภาพที่ดีที่สุดของเขา โดยได้เขียนบรรยายไว้ในจดหมายถึง ธีโอพี่ชายของเขาว่า

" ถ้าจะให้พูดถึงภาพนี้แล้ว การได้มองดูภาพนี้ก็เปรียบเสมือนการได้พักผ่อนสมอง และปลดปล่อยจินตนาการให้เพ้อฝันไกลออกไป " ภาพห้องนอนของวินเซนต์ได้กลายมา เป็นภาพที่มีชื่อเสียงในทางศิลปะ ความเรียบง่ายของภาพ แสดงให้เห็นถึง ครรลองของชีวิตที่สมถะ และเรียบง่าย หรือในอีกแง่หนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า ภาพนี้ได้แสดงถึงมุมมองของ ศิลปินในยุคโรแมนติคผู้หนึ่ง ซึ่งอุทิศชีวิตทั้งชีวิตเพื่อทุ่มเทให้กับงานศิลปะเท่านั้น



Vegetable Gardens in Montmartre
วาดในปี ค.ศ.1887 ขนาดภาพ 96 x 120 ซม.


Landscape at Saint-Romy วาดเมื่อปี ค.ศ.1889
สถานที่แสดง Ny Carlsberg Glypotek เมือง Copenhagen


Still Life With Four Sunflowers
วาดภาพเมื่อปี ค.ศ. 1887 เมือง Otterlo


Montmartre


View of Arles with Irises
วาดภาพเมื่อปี ค.ศ.1888 ขนาดภาพ 54 x 65 ซม.


Irises (pink/gree)
วาดภาพเมื่อ พ.ค. ปี ค.ศ.1890
เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนพื้นผ้าใบ ขนาดภาพ 73.7 x 92.1 ซม.
สถานที่แสดง The Metropolitan Museum of Art เมืองนิวยอร์ก


Trees in the Asylum Garden
วาดภาพเมื่อปี ค.ศ.1889
เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนพื้นผ้าใบ
ขนาดภาพ 73 x 60 ซม. (28 3/4 x 23 3/4 นิ้ว)
ประเทศสหรัฐอเมริกา






วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การเต้นเเต่ละประเภท 

1. Ballet คือ การเต้นประกอบดนตรี เพื่อใช้ในการสื่อสารทางการเเสดง กำเนิดขึ้นระหว่าง ศตวรรษที่ 15 ที่ประเทศฝรั่งเศส นิยมให้ผู้หญิงเป็นผู้เเสดงเอก เรียกว่า ballerina จนมีการพัฒนามาเป็น modern dance ซึ่งผู้ที่มีบทบาทสำคัญในวงการเพลงบัลเล่ต์ ได้เเก่ ฟัลย่า



2. Jazz Dance การเต้น jazz dance มีที่มาจากการเต้นแข่งแบบพื้นบ้านของชาว Irish โดยมักใช้เพลง jazz เป็นหลัก จนถึงยุคปี 1950 เป็นช่วงที่วงการบันเทิงเติบโตไปเป็นรูปแบบของละครเพลง broadway จนทำให้เกิดการเต้น jazz dance ขึ้นมา ซึ่งจนทุกวันนี้ทำให้เกือบทุกโรงเรียนมีการสอนเต้น jazz  และเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในโรงละครเลยก็ว่าได้



3. Hiphop Dance หรือ Break Dance มีจุดเริ่มต้นมาจาก African American หรือว่าพวก Latino ในย่าน South branch ในช่วงยุค 1970 นั่นเอง



4. Belly Dance หรือ ระบำหน้าท้อง เป็นการเต้นรำที่เก่าเเก่อย่างหนึ่ง เกิดขึ้นประมาณ 6,000 ปีที่เเล้ว เกิดขึ้นที่อียิปต์และเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเชื่อกันว่า ชนเผ่ายิปซีคือคนกลุ่มสำคัญที่ได้อนุรักษ์ระบำหน้าท้อง ให้มีมาจนทุกวันนี้ จนกระทั่งได้พัฒนากลายเป็นศิลปะที่โดดเด่น สวยงาม โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย



5. Latin Dance คือ การเต้นรำที่มีท่วงท่า ลีลา ประกอบจังหวะดนตรี มีการเต้นรำพื้นเมืองของประเทศในแถบลาตินอเมริกา ซึ่งส่วนใหญ่จะเต้นกันในงานเลี้ยงฉลอง หรือ งานเทศกาลต่างๆ เน้นจังหวะที่มีความสนุกสนาน เร้าใจ ด้วยสเต็ปง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ไม่มีเเบบเเผนตายตัว แต่มีเอกลักษณ์ชัดเจน



ทั้งหมดนี้ก็เป็นที่มาเเละกลุ่มใหญ่ๆของประเภทการเต้นในโลกนี้

วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สุดยอดโรงเเรมน้ำแข็ง



โรงแรมน้ำแข็ง Alta Igloo

โรงแรมน้ำแข็ง Alta Igloo ที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคแลพแล็นด ของประเทศนอร์เวย์ โดยราคาเข้าพักจะอยู่ที่ 300 $ ต่อคน/คืน รวมค่าอาหารและค่านำเที่ยว

     และอันดับที่ 2 ก็คงจะเป็น โรงแรม Jukkasjarvi คือโรงแรมน้ำแข็งแรกของโลก ซึ่งสร้างขึ้นใกล้ๆกับ หมู่บ้าน Jukkasjarvi ที่ห่างจาก Kiruna , ประเทศสวีเดน ประมาณ 17 กิโลเมตร 



โรงแรม Jukkasjarvi 

ซึ่งภายในโรงแรมประกอบไปด้วย บาร์ , โบสถ์ , โถงกลาง , พื้นที่ต้อนรับ , ห้องพักเดียว และห้องชุด ที่รองรับนักท่องเที่ยวได้มากกว่า 100 คน ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาพักจะต้องนั่ง นอน บนเก้าอี้น้ำแข็ง เตียงน้ำแข็ง และต้องนอนในถุงนอน รองด้วยหนังกวางเรนเดียร์ 



โรงแรมน้ำแข็ง Chapel 

 ต่อมาเป็นอัมนดับที่ 3 คือ โรงแรมน้ำแข็ง Chapel โดยโรงแรมแห่งนี้อยู่ใกล้ๆกับเขตควิเบก ประเทศแคนาดา โดยภายในโรงแรมมี 85 ห้อง, 13 ห้องสวีท, โรงภาพยนตร์, หอศิลป์, ผับ, ไอซ์เลานจ์ และอื่นๆอีกมาก 



กระท่อมน้ำแข็ง Dorf 

อันดับที่ 4 กระท่อมน้ำแข็ง Dorf อีกหนึ่งที่พักที่มีรูปแบบที่ค่อนข้างแตกต่าง เนื่องจากเป็นโรงแรมน้ำแข็งที่สร้างขึ้นในรูปแบบของหมู่บ้านเล็กๆที่ประกอบไปด้วยกระท่อมน้ำแข็งแสนโรแมนติก โดยโรงแรมแบบนี้ส่วนใหญ่จะพบในสวิสและเยอรมัน ภายในมีซาวน่าและบาร์ไว้ให้บริการนักท่องเที่ยว 



พิพิธภัณฑ์น้ำแข็งออโรร่า 

และสุดท้ายอันดับ 5 พิพิธภัณฑ์น้ำแข็งออโรร่า ตั้งอยู่ในในรัฐอลาสก้า ประเทศสหรัฐอเมริกาแห่ง โดย พิพิธภัณฑ์น้ำแข็งแห่งนี้ได้ประยุกต์ให้เป็นโรงแรมเพื่อให้ผู้คนได้สัมผัสกับความงดงามท่ามกลางความ หนาวเหน็บอย่างแท้จริง ภายในโรงแรมจะตกแต่งไปด้วยผลงานน้ำแข็งแกะสลักของ สตีฟ ไบรซ์ ซึ่งเป็นแชมป์แกะสลักน้ำแข็งอีกด้วย

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แปะก๊วย คืออะไรกันนะ?

แปะก๊วย (อังกฤษ : Ginkgo) เป็นพืชสมุนไพรที่มีต้นกำเนิดจากทางตะวันออกของประเทศจีน (แถบภูเขาด้านตะวันตกของนครเซี่ยงไฮ้) ใบมีลักษณะคล้ายใบพัด แปะก๊วยเป็นพืชที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 270 ล้านปีก่อน ถือกำเนิดขึ้นในยุคเพอร์เมียน เมื่อประมาณ 290 ล้านปีมาแล้ว และมีชีวิตต่อมาในมหายุคมีโซโซอิก ในสมัยเดียวกับไดโนเสาร์ จึงเป็นอาหารของไดโนเสาร์กินพืช สำหรับชื่อตามความหมายแปลว่า "ลูกไม้สีเงิน" ซึ่งดั้งเดิม ในภาษาจีนเรียกว่าต้น "หยาเจียว" ซึ่งแปลว่า ตีนเป็ด จากลักษณะใบ (นกเป็ดน้ำเป็นสัญลักษณ์ดีหมายถึงความรักของในจีน และในญี่ปุ่น) ต่อมามีการเรียกชื่อผลของมันว่าลูกไม้สีเงิน หรือ ลูกไม้สีขาว เนื่องจากผลจะมีสีเงิน และ สีขาวส่วนภาษาญี่ปุ่นจะเรียกว่า อิโจว มีรากจากคำว่าตีนเป็ด หรือ คินนัน ซึ่งมีรากความหมายคล้ายกับในภาษาจีนคือลูกไม้สีเงิน สำหรับในภาษาอังกฤษก็นิยมเรียกว่า กิงโกะ หรือ ต้นเมเดนแฮร์ หรือ ต้นขนนิ่ม (maidenhair tree) ซึ่งสันนิฐานว่ามาจากรูปทรงของใบที่เหมือนกันใบของเฟิร์นที่มีขนนิ่มชื่อเดียวกัน หรือ เรียกว่า ต้นสี่สิบมงกุฏทอง (หมายถึงว่ามีราคาแพง) ของชาวฝรั่งเศส ส่วนชื่ออื่น ๆ ที่มีผู้เรียกได้แก่ ต้นไม้แห่งความหวัง แพนด้าแห่งอาณาจักรพืช ต้นไม้อิสรภาพ 


ในแวดวงการแพทย์นั้นมีพืชสมุนไพรจากธรรมชาติที่มีสรรพคุณนำไปใช้ประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆได้อยู่หลากหลายชนิด ซึ่งชื่อของ ใบแปะก๊วย คือ หนึ่งในสมุนไพรสำคัญที่มากไปด้วยสรรพคุณทางยา และได้รับการยอมรับมาช้านาน โดยเชื่อกันว่ามันเป็นยาอายุวัฒนะ 



สรรพคุณที่ได้จากใบแป๊ะก๋วย
1.แปะก๊วย มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ginkgo flavoneglycosides ลักษณะใบของมันจะแยกเป็นแฉกคล้ายกังหันลม เมื่อนำมาสกัดด้วยตัวทำละลายพบว่ามีสารสกัดสำคัญ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มฟลาโวน (Flavonoids) ทำหน้าที่ต้านการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง ส่วนที่เหลืออีกสองกลุ่มเป็นน้ำมันจากใบแปะก๊วย คือ bilobalides และ ginkgolides สารทั้งสองตัวนี้มีบทบาทสำคัญต่อร่างกาย คือ ป้องกันโรคความจำเสื่อม (โรคสมองฝ่อ) โดยเป็นตัวเสริมสร้างการ ส่งสัญญาณในระบบสมอง ช่วยระบบหมุนเวียนเลือดให้ดีขึ้น ช่วยป้องกันการเกิดแผลเรื้องรังโดยเฉพาะในกลุ่มของคนที่เป็นโรค เบาหวาน และช่วยบรรเทาอาการชาตามปลายนิ้วมือและเท้าได้ นอกจากนี้ยังสามารถออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในบริเวณตา ป้องกันการ เกิดโรคเบาหวานขึ้นตาได้

2.สารที่สกัดได้จากใบแปะก๊วยมีหลายชนิดที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Free radical) ในบริเวณตา ป้องกันจอตาเสื่อมจากเบาหวานหรือ "ภาวะเบาหวานขึ้นตา" จากการทดลองพบว่าหากให้ผู้ป่วยเบาหวาน และมีอาการทางตา เช่น การรับสีผิดเพี้ยนไป กินสารสกัดแปะก๊วยนาน 6 เดือน ปัญหาการมองเห็นสีดีขึ้น

3.ใบแปะก๊วยยังทำหน้าที่ป้องกันสารอนุมูลอิสระช่วยบรรเทาโรค ลดภาวะต่างๆที่มักพบได้ในคนชรา มีประโยชน์ในการรักษาโรคหอบหืด หลอดลมอักเสบ รวมทั้งอาการปวดท้องก่อนมีประจำเดือน และภาวะหลังหมดประจำเดือนอีกด้วย เกี่ยวกับภาวะบกพร่องของสมองในส่วนซีรีบรัมนั้น ในประเทศเยอรมนีมีการนำสารสกัดจากใบแปะก๊วยที่เรียกว่า กิงโกไบโลบา มาใช้บำรุงผู้ป่วยที่บกพร่องในโรคนี้ ซึ่งในปี 1980

4.มีการทดลองกับผู้ป่วยที่มีอาการบกพร่องเรื้อรังของสมองส่วนซีรีบรัมและหลอดเลือดพบว่า ใบแปะก๊วยช่วยให้มีการพัฒนาการทางความจำ ความคิด นอนหลับได้ง่ายขึ้น ส่วนผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์นั้นในสหรัฐอเมริกาใบแปะก๊วยก็ถูกใช้อย่างกว้างขวางเพื่อเป็นยารักษาอาการดังกล่าวโดยมีการทดลองในปี 1994 ทดลองให้ใบแปะก๊วยกับกลุ่มผู้ป่วยอัลไซเมอร์ พบว่าผู้ป่วยมีความจำและสมาธิได้ดีขึ้น

5.สำหรับผู้ป่วยที่มีสภาวะทางจิตก็พบว่ามีความจำและสมาธิดีขึ้นเช่นกันเมื่อรับประทานใบแปะก๊วยเข้าไป นอกจากนี้ผู้ที่มีปัญหากาเกี่ยวกับดวงตา ใบแปะก๊วยก็ยังช่วยให้มีความเร็วในการตอบสนองทางดวงตามากขึ้น โรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปรกติของเส้นเลือดดำนั้น มีการทดลองขึ้นในปี 1998 โดยให้ผู้มีอาการปวดหลังจากการเดิน รับประทานแล้วพบว่าใบแปะก๊วยมีส่วนช่วยลดอาการปวดได้จริง ทั้งยังทำให้เดินได้มรระยะทางไกลขึ้นอีกด้วย รวมไปถึงยังมีการทดลองพบว่าใบแปะก๊วยช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดเพื่อเข้าไปเลี้ยงแขนขาได้ดีขึ้นอย่างมาก

6.ส่วนที่เกี่ยวกับสภาวะการหายใจนั้น ในปี 1996 ได้มีการทดลองพบว่าใบแปะก๊วยมีประสิทธิภาพช่วยป้องกันผู้ที่มีอาการ AMS (Asthma & Acute Mountain Sickness) หรือภาวการณ์ผิดปรกติของการหายใจขณะขึ้นสู่ที่สูงได้ ส่วนคนในกลุ่มคนที่ประสบปัญหาหูอื้ออยู่เป็นประจำ การรับประทานอาหารใบแปะก๊วยยังช่วยลดภาวะหูอื้อลงได้อีกด้วย



สรรพคุณจากเมล็ดแป๊ะก๋วย
เนื้อในเมล็ดแปะก๊วย ประกอบด้วยไขมัน แป้ง โปรตีน และน้ำตาล มีรสหวานอมขมอมฝาด ช่วยบำรุงปอด แก้ไอ แก้หอบ ขับเสมหะ ลดปัสสาวะ ฆ่าเชื่อโรค บำบัดอาการวิงเวียนศีรษะ หูอื้อ หลอดลมอักเสบ ตกขาว หนองใน แปะก๊วยสด ช่วยลดเสมหะ แก้พิษ ฆ่าพยาธิ ถ้านำมาโขลกทาบนใบหน้าและมือ ช่วยขจัดรอยเหี่ยวย่น รักษาอาการหืดได้ และเม็ดแป๊ะก๋วยก็สามารถนำมาใช้ในการประกอบอาหาร หรือทำขนมหวานต่างๆ ได้อีกด้วย 





macaron

ขนมมาการอง (Macaron) เป็นขนมหวานที่มีต้นกำเนิดจากประเทศฝรั่งเศส มีส่วนประกอบหลักของ Almond น้ำตาล และไข่ขาว มีลักษณะคล้ายคุ้กกี้ชิ้นเล็กสองอันประกบกันมีไส้ตรงกลาง มีสีสันสดใส กรอบนอกนุ่มใน สอดไส้ตรงกลางด้วยกานาช (Ganache) มีหลายรสชาติ เช่น ช็อกโกแลต สตรอเบอร์ รี่ วานิลลา อัลมอนด์ หรือผลไม้ตามฤดูกาล เป็นต้น และมักนิยมทานคู่กับชา หรือ กาแฟ



มาการอง เป็นที่รู้จักครั้งแรกในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สมัยนั้นข้าวยากหมากแพง เนื้อสัตว์ โปรตีนไม่มีให้รับประทานมากมายนัก เหล่าแม่ชีชาวอิตาเลียนที่อพยพมายังประเทศฝรั่งเศสจึงดำรงชีพอยู่ด้วยอัลมอนด์ เพราะมีคุณค่าทางอาหารไม่แพ้เนื้อสัตว์ โดยนำมาประกอบเป็นอาหารหรือขนมหลายประเภท หนึ่งในนั้นคือ ขนมจากอัลมอนด์ ซึ่งต่อมากลายเป็นของหวานที่ชาวฝรั่งเศสชื่นชอบมาจนถึงปัจจุบัน

สเน่ห์ของมาการองไม่ได้อยู่ที่สีสันสดใสเท่านั้น ว่ากันว่ามาการองที่ดีต้องเริ่มตั้งแต่รูปร่างคล้ายกับโดมแบน ๆ มองดูจากด้านบนเป็นวงกลม ผิวด้านบนของขนมเรียบมันจากความละเอียดของอัลมอนด์บด ส่วนที่สำคัญคือ “Foot” บางตำราเรียก”Skirt” รอยหยักคล้ายลูกไม้ชายกระโปรงที่บางกรอบ ซึ่งมีวิธีการทำที่ยุ่งยากพอควร อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ กลิ่นหอมหวาน เคล็ดลับอยู่ที่หลังจากนำมาการอง 2 ชิ้นมาประกบกันแล้ว ต้องเก็บไว้ในที่เย็น 1 คืน เพื่อให้ไส้รสชาติต่าง ๆ ซึมซาบเข้าสู่ชั้นของคุกกี้ นอกจากนี้ความชื้นจากไส้ยังทำให้มากาฮองมีความนุ่มหนึบเวลาเคี้ยวอีกด้วย

คุณลักษณะของมาการองที่ดี จะต้องมีรสชาติที่ผสานกันอย่างลงตัวระหว่างไส้กานาชและเนื้อคุกกี้ ส่วนสูงที่สมดุลของตัวคุกกี้ชิ้นบนและล่างที่มีขนาดเท่า ๆ กัน รวมทั้งไส้ที่บีบพอดีขอบให้เห็นเป็นเส้นเล็ก ๆ ตลอดทั้งชิ้น



ส่วน มาการูน (Macaroon) คือขนมที่ชาวอเมริกันดัดแปลงจากมากาฮองของประเทศฝรั่งเศสโดยใช้มะพร้าวป่น แทนอัลมอนด์บด ทางตอนเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกาเรียกขนมชนิดนี้ว่า “Coconut Macaroon” นิยมจุ่มลงในซอสช็อกโกแลตก่อนรับประทาน แต่ในศตวรรษที่ 20 ของหวานสไตล์ฝรั่งเศส เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในประเทศสหรัฐอเมริกา มาการูน จึงได้รับความนิยมน้อยลง บวกกับมะพร้าวหาได้ยากและมีราคาแพง ร้านขนมต่าง ๆ จึงหันมาใช้อัลมอนด์บดเหมือนมากาฮอง อันเป็นที่มาของความสับสนระหว่าง 2 คำนี้

**ใน ประเทศอังกฤษ ยังเรียก “Macaron” ว่า “Macaroon” เนื่องจากเป็นที่รู้จักและมีความเป็นสากลมากกว่า**

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อาหารที่ขึ้นชื่อของฝรั่งเศส
1.ฟัวกราส์ เป็นอาหารชั้นดีของฝรั่งเศสซึ่งทำมาจากตับห่าน ที่ถูกเลี้ยงให้อ้วนด้วยการยัดอาหารจนเกินอิ่ม ทำให้ได้ตับห่านที่ได้มีขนาดใหญ่กว่าตับห่านปกติถึง 5 เท่า ด้วยภาวะไขมันล้นตับ ฟัวกราที่มีคุณภาพดีจะให้เนื้อตับที่แน่นเนียนละเอียด ให้รสชาตินุ่มลิ้นละลายในปาก  


2.ขนมปังฝรั่งเศส (บาแก็ต) ขนมปังมีลักษณะรูปทรงเป็นแท่งยาว  ด้านนอกจะแข็งแต่เนื้อด้านในจะนุ่มเหนียว นิยมนำขนมปังฝรั่งเศสมาปรุงอาหารหลายเมนู เช่น มาหั่นเฉียงเป็นแผ่นหนา เพื่อรับประทานคู่กับซุปชนิดต่างๆ นำมาทาเนยสดก็อร่อยไปอีกแบบ หรือจะไส้ใส่ประกบทำเป็นแซนด์วิช


3.ครัวซอง ขนมปังอบให้กลิ่นหอมชุ่มช่ำไปด้วยเนย หัวใจของครัวซองคือการรีดแป้ง แล้วทบเป็นชั้นๆเมื่ออบเสร็จจะได้ครัวซองกรอบนอกนุ่มใน และมีโพรงอากาศแบ่งเป็นชั้นๆ ชาวฝรั่งเศสนิยมรับประทานครัวซองในทุกๆเช้าพร้อมนมหรือกาแฟ


4.คีช เป็นอาหารจานอบที่มีลักษณะเหมือนกับพายแต่ว่าเป็นอาหารคาว มี 3 ส่วนด้วยกันคือส่วนของแป้งเพสตรี้จะทำมาจากแป้ง เนย เกลือ ส่วนของครีมจะใช้ไข่ นม วิปปิ้งครีม และส่วนของไส้ข้างในจะใส่ เนื้อสัตว์ แฮม ผัก เนย


5.ซูเฟล  เป็นขนมเค้ก ความพิเศษของซูเฟลก็คือ เนื้อที่เบา ดูฟูนุ่ม พูนถ้วยดูน่ารับประทาน คนฝรั่งเศสนิยมรับประทานเป็นอาหารว่าง ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งของคาวและของหวาน ควรรับประทานซูเฟลตอนเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ เพราะเนื้อเค้กจะยังฟูฟ่องพร้อมส่งกลิ่นหอมๆ


6.ขากบทอดแบบฝรั่งเศส โดยจะนำขากบที่ล้างสะอาดแล้วมาทอดกับเนย กระเทียม พาสลี่ และเหล้าเพอโน ให้ความหอมและความกรอบของขากบ


7.คาเวียร์ เป็นอีกหนึ่งอาหารชั้นเลิศที่ชาวฝรั่งเศสนิยมรับประทาน ลักษณะไข่ปลาคาเวียร์เป็นเม็ดเล็กๆมีตั้งแต่สีดำ เทา เหลือง ขึ้นอยู่กับเกรดของไข่ปลา ถูกจัดวางในภาชนะที่หรูหรา เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงอย่างขนมปังปิ้งบางกรอบ  ไข่นกกระทาต้ม  มันฝรั่งต้ม และควรมใช้ช้อนขนาดเล็กที่ทำจากทองคำ กระเบื้องและเปลือกหอยมุกเท่านั้น เพื่อคงรสชาติของคาเวียร์เอาไว้ นอกจากนี้ยังนิยมรับประทานคาเวียร์คู่กับไวน์

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

Les 5 différences entre Tom et Nino

Tom et Nino

Tom et Nino sont très différents

-Tom est  blond et Nino est  brun

-Tom est les yeux bleu et Nino est les yeux marron.

-Tom porte un t-shirt rouge et Nino porte un t-shirt noir.

-Tom porte la montre orange et Nino porte la montre rouge.

-Tom porte des basket brun et Nino porte des basket vert.

-Tom n'a pas une casquette et Nino a une casquette rouge.